วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ยุคทองของการดูหนังออนไลน์ในไทย

movie-theater
ในขณะที่โรงหนังทั่วประเทศต่างก็เพิ่มราคาตั๋วอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีท่าที่ว่าจะหยุดที่จุดไหน การไปดูหนัง HDในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 200-300 บาท การดูภาพยนตร์จากที่บ้านก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
โชคดีของผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวทั้งแอพและบริการดูหนังผ่านมือถือมากมายหลากหลายค่าย ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีและราคาที่แตกต่างกันออกไป แล้วอะไรล่ะ ที่เราควรใช้ในการเลือกบริการเหล่านี้
stickerline-201311121529521
ถ้าย้อนหลับไปแค่ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ การดูหนังที่บ้านถ้าไม่ใช่การซื้อแผ่น DVD, Bluray กลับมาดู หลายคนก็พึ่งบริการอย่าง Bittorrent ซึ่งแน่นอนว่ามันผิดกฏหมาย และเอาเปรียบผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าซักเท่าไหร่
จนมาในปีนี้ บริการดูหนังออนไลน์เปิดตัวมากมาย ทั้งแบบซื้อทีละเรื่อง หรือเหมาจ่ายรายเดือนแล้วดูแบบบุฟเฟ่ต์กี่เรื่องก็ได้
ที่สำคัญคือราคาในตอนนี้ ถูกลงมามาก จากสมัยก่อนที่เว็บดูหนังมีค่าใช้จ่ายหลักพัน ตอนนี้แค่ 200 บาทก็ดูหนังกี่เรื่องก็ได้ไปแล้ว มีทั้งซับไทย, พากย์ไทย, ดูผ่านคอมพิวเตอร์, ดูผ่านแอพบนมือถือ แท็บเล็ต หรือแม้แต่ผ่านกล่องอย่าง Apple TV, Chromecast ก็ได้
ที่สำคัญคือทุกอย่างถูกลิขสิทธิ์ทั้งหมด ดูได้อย่างสบายใจ
chromecast-vs-apple-tv

เราควรเลือกบริการดูหนังออนไลน์อย่างไร ?

ในเมื่อมีตัวเลือกมากขึ้น แล้วอะไรล่ะที่เป็นจุดในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการของค่ายไหน
ซื้อ/เช่าหนังทีละเรื่อง แบบ On Demand
บริการดั้งเดิมสำหรับการซื้อหรือเช่าหนังมาชม ซึ่งบริการที่น่าสนใจตอนนี้ก็มีทั้ง iTunes Store, Google Play Store, AIS Movie Store, True Anywhere On-Demand
ข้อดีของระบบซื้อหนังทีละเรื่อง คือหนังจะใหม่ บางเรื่องออกมาให้ดูออนไลน์ก่อน DVD เสียอีก แต่ข้อเสียคือราคาสูง ราคาเฉลี่ยของหนังใหม่คือ 300 – 500 บาท ส่วนถ้าเช่าก็ราคาระดับ 150 – 250 บาท รวมถึงการซื้อหนังจากระบบนึง ก็ไม่สามารถไปดูในอีกระบบได้ด้วย
itunes-movie-store
ระบบซื้อหนังออนไลน์แบบดั้งเดิม ข้อเสียคือราคาหนังสูงมาก เช่น Gone Girl ใน iTunes ราคา 600 บาท

สมัครสมาชิกรายเดือน ดูกี่เรื่องก็ได้
สำหรับบริการที่มาแรงในช่วงหลัง คือการสมัครสมาชิกแบบรายเดือน แล้วให้เราเลือกดูหนังใหม่ที่มีกี่เรื่อง กี่ครั้งก็ได้ ซึ่งเป็นบริการที่ฮิตมากในต่างประเทศ แต่เพิ่งจะมาฮ็อตในไทยไม่นาน
ผู้ให้บริการดูหนังแบบสมาชิกรายเดือนก็มี Primetime (ที่เพิ่งเปิดตัว), Hollywood HD, Doonung
ข้อดีของระบบนี้คือราคาไม่สูงนัก จ่ายแล้วสบายใจเพราะดูกี่เรื่องก็ได้ และมักจะมีให้เลือกดูได้จากอุปกรณ์หลากหลาย แต่ข้อเสียก็คือหนังที่มีให้ดูมีจำนวนจำกัด และหนังไม่ใหม่เท่าแบบซื้อขาด
smartphone-tablet-pc-tv-movie

เทคโนโลยีและราคา

  • ควรเลือกซื้อบริการดูหนังออนไลน์ ที่ดูได้จากหลาย Platform เช่นดูผ่านคอมพิวเตอร์ก็ได้ ดูผ่านสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต
  • สามารถขึ้นไปดูบนจอใหญ่ผ่าน Apple TV หรือ Chromecast ได้
  • ดูผ่านเน็ตที่ไม่เร็วนักได้ เช่นดูผ่านระบบ 3G ถ้าติด FUP ความเร็วเหลือน้อย ก็ยังดูหนังต่อไปได้ไม่สะดุด
  • ถ้าเป็นระบบดูหนังบุฟเฟ่ต์ ควรมีทางเลือกเพิ่มเติม เช่นดูซีรีย์ หรือดูหนังใหม่ได้
  • ระบบเสียง, ซับไทย, พากย์ไทย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
  • ราคาควรจะไม่สูงกว่าการออกไปดูหนังนอกบ้าน ซึ่งระดับ 100 – 200 บาทกำลังเป็นราคาที่กำลังดี
primetime-app-movie

ตลาดดูหนังแบบสมาชิกรายเดือน คู่แข่งที่น่าจับตา

แน่นอนบริการดูหนังออนไลน์ที่แข่งกันเดือดที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นตลาดสมาชิกรายเดือน ซึ่งล่าสุดมีแอพ Primetime ที่เพิ่งเปิดตัวไป โดยทีมงานซึ่งเคยทำแอพ Hollywood HD มาก่อนเสียด้วย ซึ่งทั้งสองแอพก็ให้บริการแบบสมาชิกรายเดือนเหมือนกัน
Hollywood HD ที่เปิดมานานกว่าก็จะมีหนังในสต๊อกเยอะพอสมควร รวมถึงมีหนังไทยให้เลือกด้วย
ส่วน Primetime จะมีข้อได้เปรียบคือมีหนังใหม่ให้เลือกดูได้ด้วย เช่น Big Hero 6, Guardians Of The Galaxy ซึ่งการดูหนังใหม่ก็มีเงื่อนไขในแต่ละแพ็คเกจเล็กน้อย รวมถึงมีซีรีย์ต่างประเทศอย่าง Glee, Homeland ให้เลือก
ทีมงานเพิ่งได้ทดสอบตัวแอพไม่นาน ดีไม่ดีอย่างไร เดี๋ยวคงมารีวิวให้ได้ชมกัน แต่โดยสรุปแล้วยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่เราสามารถดูหนังดีๆ ได้จากที่บ้าน ทุกที่ทุกเวลา แถมราคาไม่แพงอีกด้วยนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.macthai.com/2015/03/18/online-movie-on-demand-boom-in-thailand/

Next

Related


EmoticonEmoticon