ในขณะที่โรงหนังทั่วประเทศต่างก็เพิ่มราคาตั๋วอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีท่าที่ว่าจะหยุดที่จุดไหน การไปดูหนัง HDในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 200-300 บาท การดูภาพยนตร์จากที่บ้านก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
โชคดีของผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวทั้งแอพและบริการดูหนังผ่านมือถือมากมายหลากหลายค่าย ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีและราคาที่แตกต่างกันออกไป แล้วอะไรล่ะ ที่เราควรใช้ในการเลือกบริการเหล่านี้
ถ้าย้อนหลับไปแค่ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ การดูหนังที่บ้านถ้าไม่ใช่การซื้อแผ่น DVD, Bluray กลับมาดู หลายคนก็พึ่งบริการอย่าง Bittorrent ซึ่งแน่นอนว่ามันผิดกฏหมาย และเอาเปรียบผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าซักเท่าไหร่
จนมาในปีนี้ บริการดูหนังออนไลน์เปิดตัวมากมาย ทั้งแบบซื้อทีละเรื่อง หรือเหมาจ่ายรายเดือนแล้วดูแบบบุฟเฟ่ต์กี่เรื่องก็ได้
ที่สำคัญคือราคาในตอนนี้ ถูกลงมามาก จากสมัยก่อนที่เว็บดูหนังมีค่าใช้จ่ายหลักพัน ตอนนี้แค่ 200 บาทก็ดูหนังกี่เรื่องก็ได้ไปแล้ว มีทั้งซับไทย, พากย์ไทย, ดูผ่านคอมพิวเตอร์, ดูผ่านแอพบนมือถือ แท็บเล็ต หรือแม้แต่ผ่านกล่องอย่าง Apple TV, Chromecast ก็ได้
ที่สำคัญคือทุกอย่างถูกลิขสิทธิ์ทั้งหมด ดูได้อย่างสบายใจ
เราควรเลือกบริการดูหนังออนไลน์อย่างไร ?
ในเมื่อมีตัวเลือกมากขึ้น แล้วอะไรล่ะที่เป็นจุดในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการของค่ายไหน
ซื้อ/เช่าหนังทีละเรื่อง แบบ On Demand
บริการดั้งเดิมสำหรับการซื้อหรือเช่าหนังมาชม ซึ่งบริการที่น่าสนใจตอนนี้ก็มีทั้ง iTunes Store, Google Play Store, AIS Movie Store, True Anywhere On-Demand
ข้อดีของระบบซื้อหนังทีละเรื่อง คือหนังจะใหม่ บางเรื่องออกมาให้ดูออนไลน์ก่อน DVD เสียอีก แต่ข้อเสียคือราคาสูง ราคาเฉลี่ยของหนังใหม่คือ 300 – 500 บาท ส่วนถ้าเช่าก็ราคาระดับ 150 – 250 บาท รวมถึงการซื้อหนังจากระบบนึง ก็ไม่สามารถไปดูในอีกระบบได้ด้วย
สมัครสมาชิกรายเดือน ดูกี่เรื่องก็ได้
สำหรับบริการที่มาแรงในช่วงหลัง คือการสมัครสมาชิกแบบรายเดือน แล้วให้เราเลือกดูหนังใหม่ที่มีกี่เรื่อง กี่ครั้งก็ได้ ซึ่งเป็นบริการที่ฮิตมากในต่างประเทศ แต่เพิ่งจะมาฮ็อตในไทยไม่นาน
ผู้ให้บริการดูหนังแบบสมาชิกรายเดือนก็มี Primetime (ที่เพิ่งเปิดตัว), Hollywood HD, Doonung
ข้อดีของระบบนี้คือราคาไม่สูงนัก จ่ายแล้วสบายใจเพราะดูกี่เรื่องก็ได้ และมักจะมีให้เลือกดูได้จากอุปกรณ์หลากหลาย แต่ข้อเสียก็คือหนังที่มีให้ดูมีจำนวนจำกัด และหนังไม่ใหม่เท่าแบบซื้อขาด
เทคโนโลยีและราคา
- ควรเลือกซื้อบริการดูหนังออนไลน์ ที่ดูได้จากหลาย Platform เช่นดูผ่านคอมพิวเตอร์ก็ได้ ดูผ่านสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต
- สามารถขึ้นไปดูบนจอใหญ่ผ่าน Apple TV หรือ Chromecast ได้
- ดูผ่านเน็ตที่ไม่เร็วนักได้ เช่นดูผ่านระบบ 3G ถ้าติด FUP ความเร็วเหลือน้อย ก็ยังดูหนังต่อไปได้ไม่สะดุด
- ถ้าเป็นระบบดูหนังบุฟเฟ่ต์ ควรมีทางเลือกเพิ่มเติม เช่นดูซีรีย์ หรือดูหนังใหม่ได้
- ระบบเสียง, ซับไทย, พากย์ไทย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
- ราคาควรจะไม่สูงกว่าการออกไปดูหนังนอกบ้าน ซึ่งระดับ 100 – 200 บาทกำลังเป็นราคาที่กำลังดี
ตลาดดูหนังแบบสมาชิกรายเดือน คู่แข่งที่น่าจับตา
แน่นอนบริการดูหนังออนไลน์ที่แข่งกันเดือดที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นตลาดสมาชิกรายเดือน ซึ่งล่าสุดมีแอพ Primetime ที่เพิ่งเปิดตัวไป โดยทีมงานซึ่งเคยทำแอพ Hollywood HD มาก่อนเสียด้วย ซึ่งทั้งสองแอพก็ให้บริการแบบสมาชิกรายเดือนเหมือนกัน
Hollywood HD ที่เปิดมานานกว่าก็จะมีหนังในสต๊อกเยอะพอสมควร รวมถึงมีหนังไทยให้เลือกด้วย
ส่วน Primetime จะมีข้อได้เปรียบคือมีหนังใหม่ให้เลือกดูได้ด้วย เช่น Big Hero 6, Guardians Of The Galaxy ซึ่งการดูหนังใหม่ก็มีเงื่อนไขในแต่ละแพ็คเกจเล็กน้อย รวมถึงมีซีรีย์ต่างประเทศอย่าง Glee, Homeland ให้เลือก
ทีมงานเพิ่งได้ทดสอบตัวแอพไม่นาน ดีไม่ดีอย่างไร เดี๋ยวคงมารีวิวให้ได้ชมกัน แต่โดยสรุปแล้วยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่เราสามารถดูหนังดีๆ ได้จากที่บ้าน ทุกที่ทุกเวลา แถมราคาไม่แพงอีกด้วยนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.macthai.com/2015/03/18/online-movie-on-demand-boom-in-thailand/
EmoticonEmoticon